e-booking

ระบบฐานข้อมูลศิษย์เก่ามหาวิทยาลัยราชภัฏยะลา

  VDO Clip


โตขึ้นหนูอยากเป็นอะไร? 20 อาชีพน่าสนใจ ในยุคสมัยของโดราเอมอน

#Rerun เอพิโสดที่ว่าด้วยศัพท์อาชีพการงานเฟี้ยวๆ ที่นอกเหนือไปจากทีชเชอร์ ด๊อกเตอร์ ต่างๆ ลองมองไปในอนาคตกันว่าตั้งแต่ปี 2020 นี้ไปจนถึงปีเกิดของโดราเอมอน (ซึ่งคืออีกไม่ถึงร้อยปีแล้วนะ) เด็กที่เกิดในช่วงสิบปีนี้อาจได้โตขึ้นไปประกอบอาชีพฮิตอะไรกันบ้าง

THE STANDARD PODCAST : EYE-OPENING FOR YOUR EARS พอดแคสต์จากสำนักข่าว THE STANDARD

cr : THE STANDARD 



  Interesting Article : บทความน่าสนใจ


Responsive image

อาชีพ Costume Designer ผู้อยู่เบื้องหลังของเสื้อผ้าที่โดดเด่น

อาชีพ Costume Designer นับเป็นอีกหนึ่งอาชีพในฝันสำหรับใครที่เรียนจบด้านออกแบบมาโดยตรง แต่น้อยคนนักที่จะสามารถทำงานสายอาชีพนี้ได้ เนื่องจากสังคมคนทำงาน Costume Designer จะค่อนข้างเล็กกว่ากลุ่มสังคมคนเรียนออกแบบเสื้อผ้าแฟชั่นดีไซน์ ดังนั้นการจะสมัครงานอาชีพนี้ จึงค่อนข้างลำบากยากสักหน่อย ที่สำคัญคุณต้องพิสูจน์ฝีมือของคุณให้บริษัทเห็นจริง ๆ จึงจะได้รับความไว้วางใจให้ช่วยออกแบบเสื้อผ้าสำหรับตัวละครในภาพยนตร์และซีรีส์

งาน Costume Designer ต้องทำอะไรบ้าง?

คนทำงาน Costume Designer ทุกคนจะมีหน้าที่หลัก ๆ ในการออกแบบเครื่องแต่งกายตัวละครในภาพยนตร์หรือซีรีส์ในแต่ละฉาก ไม่ใช่เพียงแค่ออกแบบเครื่องเสื้อผ้าเท่านั้น แต่จะครอบคลุมถึงการออกแบบเครื่องประดับเพื่อให้เหมาะสมกับบทและแครักเตอร์ของตัวละครมากที่สุด ซึ่งขั้นตอนการทำงานของอาชีพ Costume Designer จะเริ่มต้นจากการอ่านบทและสคริปต์ของตัวละคร เพื่อมองหาว่าตัวละครแต่ละตัวจะอยู่ในยุคสมัยไหน มีการแต่งตัวอย่างไร เพราะการแต่งกายในแต่ละยุคสมัยจะมีเอกลักษณ์และความแตกต่างกันพอสมควร เมื่อทำการวิเคราะห์และศึกษาอย่างละเอียด แล้วจึงเริ่มต้นวางแผนและออกแบบ Costume

สิ่งสำคัญสำหรับคนที่อยากทำงาน Costume Designer ทุกคนต้องรู้

  • เทรนด์เสื้อผ้าแฟชั่นในกระแส

เป็นที่รู้กันอยู่ว่า คนทำงาน Costume Designer ควรเป็นคนที่เรียนจบด้านออกแบบมาจะมีโอกาสที่ดีมากกว่า แต่ก็ใช่ว่าไม่ได้จบด้านนี้มาจะทำงานอาชีพนี้ไม่ได้เลยนะ แต่คนทำงาน Costume Designer ทุกคน แม้ว่าจะจบหรือไม่จบด้านออกแบบ แต่จะต้องเป็นคนที่คอยอัปเดตเทรนด์เสื้อผ้าแฟชั่นในกระแสตามนิตยสาร หรือรายการแฟชั่นอยู่ตลอดเวลา เพื่อเตรียมพร้อมออกแบบเสื้อผ้าให้ทันสมัย และเข้ากับเทรนด์ในตอนนั้น

  • เวลางานไม่เป็นเวลา

อาชีพ Costume Designer จะมีเวลาทำงานคล้ายกับกลุ่มอาชีพในกองถ่ายภาพยนตร์ ซึ่งมีเวลาทำงานไม่ค่อยเป็นเวลา ไม่มีเวลาตายตัว จะขึ้นอยู่กับเวลาถ่ายภาพยนตร์ในแต่ละวัน ฉะนั้นคนที่อยากทำงานอาชีพนี้จะต้องยอมรับในจุดนี้ให้ได้

  • จงทำตัวให้เป็นน้ำไม่เต็มแก้ว

คนทำงาน Costume Designer ทุกคนจะต้องเริ่มจากศูนย์ จุดเริ่มต้นทุกคนจะต้องเริ่มเรียนรู้งานจากรุ่นพี่ในที่ทำงานเสียก่อน แรกเริ่มคงไม่มีใครไว้ใจให้คุณเริ่มออกแบบ Costume หรอก คุณต้องเริ่มต้นฝึกงานกับคนอื่น เพื่อเรียนรู้สไตล์การทำงานเสียก่อน ฉะนั้นจงทำตัวให้เป็นน้ำไม่เต็มแก้ว พร้อมเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ ที่ทีมจะพร้อมสอนคุณอยู่ตลอด

ถ้าจะสมัครงาน Costume Designer ต้องทำอย่างไร?

การสมัครงานอาชีพ Costume Designer จะค่อนข้างแตกต่างจากอาชีพอื่นสักหน่อย เพราะสายงานนี้ส่วนใหญ่ จะสมัครงานผ่านการแนะนำของคนรู้จักในวงการ หรือคนที่มองเห็นความสามารถของตัวผู้สมัครงานจริง ๆ แต่หากใครที่ยังไม่มีผลงาน ยังไม่มีคอนเนกชั่นเลย ก็ไม่ต้องท้อนะ ไม่ใช่ว่าคุณจะไม่มีสิทธิ์ทำงานอาชีพ Costume Designer เลย แต่เราขอแนะนำอีกวิธีหนึ่งในการสมัครงานอาชีพนี้ คือการเริ่มต้นลงมือเก็บเกี่ยวประสบการณ์และสร้างผลงาน สร้างชื่อเสียงของตัวคุณเอง โดยการเริ่มต้นสมัครงานในบริษัทที่มีฝ่าย Costume เสียก่อน หรือตามแบรนด์บริษัทเสื้อผ้าที่มีชื่อเสียง เพื่อเรียนรู้การทำงาน และสร้างคอนเนกชั่นของตัวคุณเองด้วย

ใครหลายคนที่กำลังสนใจทำงานอาชีพ Costumer Designer จะมองเห็นภาพรวมและช่องทางการเริ่มต้นสมัครงาน Costume Designer กันมากยิ่งขึ้น หากใครตั้งใจที่อยากจะทำงานอาชีพนี้จริง ๆ ก็ขอให้จงอย่ายอมแพ้ อย่าย่อท้อ ให้ขยันตั้งใจเก็บเกี่ยวประสบการณ์ เริ่มต้นสร้างผลงานของตัวเองให้เป็นที่รู้จัก แล้วรับรองว่าสักวันคุณจะได้ทำงานในอาชีพตามใจฝันอย่างแน่นอน

cr : jobtopgun.com

10 ก.พ. 2565 ดู 4 ครั้ง

Responsive image

นักพิสูจน์อักษรอาชีพสำหรับคนที่มีใจรักในภาษา

นักพิสูจน์อักษร อาชีพสำหรับคนที่ต้องเก่งภาษาอย่างแท้จริง ซึ่งเชื่อว่าใครหลายคนคงคิดว่า อาชีพนี้มีหน้าที่เพียงแค่ตรวจอักษรและการสะกดคำของหนังสือและเอกสารต่าง ๆ แต่เราขอบอกไว้ก่อนเลยว่า งานของนักพิสูจน์อักษรแท้จริงแล้ว ยังมีอีกมากกว่านั้น เพราะนักพิสูจน์อักษรจะต้องคอยตรวจสอบรูปประโยคของภาษาว่ามีความถูกต้อง สมเหตุสมผลหรือไม่ จัดเรียงถูกต้องตามหลักไวยากรณ์ของภาษาหรือไม่ เพื่อเป็นการช่วยตรวจสอบหนังสือและเอกสารเบื้องต้นก่อนส่งให้กองบรรณาธิการตรวจสอบอย่างละเอียดอีกครั้งหนึ่ง

คนทำงานนักพิสูจน์อักษรควรมีลักษณะและคุณสมบัติอย่างไร?

  • นักพิสูจน์อักษรจะต้องมีใจรักในภาษา

การที่จะต้องอ่านหนังสือและเอกสาร โดยตรวจสอบอักษร การสะกดคำและรูปประโยคทุกบรรทัดในทุก ๆ หน้าของหนังสือ ถือเป็นงานที่หนักพอสมควรสำหรับคนที่ไม่ชอบการทำงานที่เกี่ยวกับภาษา เพราะการจะตรวจสอบงานพวกนี้ต้องใช้ทักษะทางด้านภาษาที่สูงพอสมควร หากใครที่ไม่ชอบภาษา ขอบอกเลยว่า เหนื่อยแน่นอน

  • นักพิสูจน์อักษรจะต้องรักการอ่านเป็นชีวิตจิตใจ

นักพิสูจน์อักษรต้องอ่านหนังสือทุกหน้าอย่างละเอียด ฉะนั้นอาชีพนี้จึงเหมาะสำหรับคนที่ชื่นชอบอ่านหนังสือเป็นชีวิตจิตใจเลยละ คุณจะได้อ่านหนังสือหลากหลายแนว ไม่ใช่แค่แนวที่ตัวเองสนใจเพียงอย่างเดียวเท่านั้น แต่แนวอื่น ๆ ก็ต้องอ่าน ฉะนั้นหากใครไม่ชอบอ่านหนังสือ รับรองคุณจะอ่านหนังสือไม่จบเล่มอย่างแน่นอน

  • นักพิสูจน์อักษรจะต้องรอบคอบและช่างสังเกต

ความรอบคอบและช่างสังเกต คือคุณลักษณะที่นิยามอาชีพนักพิสูจน์อักษรอย่างแท้จริง คนทำงานอาชีพนี้ทุกคนจะต้องละเอียดรอบคอบเป็นอย่างมาก เพราะต้องตรวจสอบภาษาก่อนส่งให้บรรณาธิการคัดกรองต่อไป

  • นักพิสูจน์อักษรจะต้องมีความอดทนสูง

อาชีพนักพิสูจน์อักษรต้องทำงานหนักไม่ต่างจากอาชีพอื่น ๆ เลยละ ที่สำคัญฐานเงินเดือนก็ไม่ค่อยสูงเท่าไหร่ ฉะนั้นคนทำงานอาชีพนี้จะต้องมีความอดทนสูง และมีใจรักในอาชีพจริง ๆ จึงจะอยู่รอดต่อไปได้

อยากทำงานนักพิสูจน์อักษรต้องทำอย่างไร?

อาชีพนักพิสูจน์อักษร จะต้องทำงานเกี่ยวกับการภาษาตลอดเวลา ฉะนั้นคนที่อยากทำงานในสายอาชีพนี้ ก็ควรที่จะต้องเรียนจบจากสาขาอักษรศาสตร์ หรือด้านภาษาโดยเฉพาะ แต่ก็ไม่เสมอไปเช่นกัน หากใครที่สามารถขวนขวายหาความรู้เพิ่มเติมด้วยตัวเอง จะจบจากสาขาไหนก็ไม่สำคัญ หากคุณเก่งจริงและมีความรู้จริง ก็สามารถทำงานนักพิสูจน์อักษรได้ทั้งนั้น

อย่างไรก็ตามที่เราแนะนำให้คุณควรเรียนจบด้านภาษาโดยเฉพาะ เพราะจะถือเป็นข้อได้เปรียบในตอนสมัครงาน เนื่องจากโดยส่วนใหญ่แล้ว ฝ่ายบุคคลของบริษัทหรือองค์กรที่สายอาชีพนี้ต้องทำงาน ส่วนใหญ่จะเปิดรับหรือให้โอกาสคนที่จบด้านภาษาโดยตรงก่อน แต่หากใครที่ไม่ได้จบโดยตรงมา แต่โปรไฟล์เรซูเม่ของคุณโดดเด่นก็มีโอกาสสมัครงานได้ไม่ต่างกัน แค่ถือเป็นข้อได้เปรียบเล็ก ๆ น้อย ๆ เท่านั้นเอง

เชื่อว่าใครหลายคนที่กำลังวางแผนชีวิตและสนใจสมัครงานนักพิสูจน์อักษร จะเข้าใจเกี่ยวกับสายอาชีพนี้กันมากยิ่งขึ้น อาชีพนี้เป็นหนึ่งอาชีพที่เหมาะสำหรับคนที่ชอบอ่านหนังสือมาก ๆ เพราะคุณจะได้อ่านหนังสือในทุก ๆ วัน รับรองคงมีความสุขกับชีวิตการทำงานอย่างแน่นอน อย่ารอช้าหากคุณเป็นคนนั้น ก็รีบสมัครงานนักพิสูจน์อักษรกันได้เลย

cr : jobtopgun.com

25 ม.ค. 2565 ดู 3 ครั้ง

Responsive image

เส้นทางสู่การเป็นนักออกแบบแฟชั่นมืออาชีพ

อาชีพนักออกแบบแฟชั่น นับเป็นอาชีพในฝันของคนที่ชื่นชอบแฟชั่นกันทุกคน แต่น้อยคนนักที่จะสามารถทำงานเป็นนักออกแบบแฟชั่นได้จริง ๆ เนื่องจากสายอาชีพนี้จะต้องใช้ทักษะและความสามารถเฉพาะทางที่สูงมาก แต่ก็ใช่ว่าจะต้องเป็นคนที่เกิดมาพร้อมพรสวรรค์เท่านั้น ใครที่อยากทำงานนักออกแบบแฟชั่น ก็สามารถขยันตั้งใจศึกษาหาความรู้เพิ่มเติม เพื่อเตรียมพร้อมสมัครทำงานนักออกแบบแฟชั่นได้เช่นกัน ยิ่งในสมัยนี้มีหลายสถาบันการศึกษาได้เปิดหลักสูตรเฉพาะทางในด้านการเรียนออกแบบแฟชั่นโดยเฉพาะ ทำให้เส้นทางสู่การเป็นนักออกแบบแฟชั่นมืออาชีพยิ่งเปิดกว้างมากขึ้นกว่าแต่ก่อน โดยการทำงานของนักออกแบบแฟชั่นมืออาชีพนั้น จะแบ่งออกเป็น 5 หน้าที่ด้วยกัน

1. เริ่มต้นหัดออกแบบและสเก็ตช์ภาพ

ความคิดริเริ่มเป็นทักษะที่นักออกแบบแฟชั่นทุกคนต้องมี โดยเฉพาะการริเริ่มต้นฝึกหัดออกแบบและสเก็ตช์ภาพเสื้อผ้าแฟชั่นทั่วไป เพื่อฝึกฝนทักษะการวาดภาพแบบของเสื้อผ้าสไตล์ของตัวเอง โดยความคิดริเริ่มที่มาเป็นแรงบันดาลใจในการกำหนดแบบเสื้อผ้าต่าง ๆ อาจจะมาจากสิ่งที่พบเจอในชีวิตประจำวัน แล้วจึงนำมาวาดออกแบบเป็นแบบเสื้อผ้า เพื่อจัดลำดับขั้นตอนในการทำ และจึงเริ่มต้นลงสี

2.การทำแพตเทิร์น

นักออกแบบแฟชั่น จะต้องหัดทำแพตเทิร์นของเสื้อผ้าตามแบบภาพที่ได้สเก็ตช์ไว้ ซึ่งการทำแพตเทิร์นจะแบ่งออกเป็น 2 วิธี ด้วยกัน ได้แก่ การวาดแพตเทิร์นลงบนกระดาษทำแพตเทิร์น ซึ่งวิธีนี้จะเหมาะกับนักออกแบบแฟชั่นที่มีความชำนาญแล้ว และวิธีการวาดแพตเทิร์นลงบนโปรแกรมสำเร็จรูปที่ใช้ในการออกแบบแพตเทิร์นเสื้อผ้า ซึ่งเหมาะกับนักออกแบบแฟชั่นมือใหม่ เพราะสามารถแก้ไขแบบได้ง่าย และจะแก้กี่รอบก็ได้

3.ลองฟิตติ้งหรือทดลองสวมใส่จริง

หากใครที่เคยสั่งตัดชุดเสื้อผ้า หลังจากวัดตัวกันแล้วซักระยะเวลาหนึ่ง จะต้องเคยเข้าไปทดลองสวมใส่เสื้อผ้าที่ตัดเย็บชั่วคราวกันมาไม่มากก็น้อย ขั้นตอนนี้จะเป็นการวัดว่าขนาดของเสื้อผ้าที่ตัดออกมา พอดี ฟิตไป หรือหลวมจนไม่สวยหรือไม่ เพื่อให้ช่างตัดเย็บและนักออกแบบแฟชั่นตรวจสอบความสวยงาม แล้วจึงนำชุดเหล่านั้นกลับไปแก้ไขต่อไป

4.เริ่มต้นตัดเย็บและผลิต

หลังจากทำแพตเทิร์นและฟิตติ้งเสร็จแล้ว นักออกแบบแฟชั่น จะต้องลงมือผลิตเสื้อผ้าแฟชั่นเหล่านั้นด้วยตัวเอง เพราะต้องใช้ความชำนาญและทักษะที่ฝึกฝนมาอย่างหนัก เพราะในบางครั้งระหว่างการผลิตอาจเกิดปัญหาขึ้น นักออกแบบแฟชั่นจึงต้องคอยหาวิธีแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าเหล่านั้น เพื่อให้เสื้อผ้าออกมาสวยงาม ตรงตามแบบมากที่สุด

5.อัปเดตเทรนด์แฟชั่นและหมั่นฝึกฝน

การอัปเดตเทรนด์แฟชั่นตลอดเวลา จะช่วยให้นักออกแบบแฟชั่นเข้าใจในกระแสของกลุ่มลูกค้ามากยิ่งขึ้น สามารถสร้างแรงบันดาลใจ และออกแบบเสื้อผ้าแฟชั่นได้ตอบโจทย์กับกลุ่มลูกค้ามากที่สุด

และนี่ก็คือลักษณะการทำงานและเส้นทางที่นักออกแบบแฟชั่นทุกคนต้องพบเจอ สำหรับใครที่กำลังสนใจทำงานนักออกแบบแฟชั่น ก็จงหมั่นฝึกฝนตัวเองให้พร้อม หากใครที่รู้ตัวว่ายังขาดทักษะเหล่านี้ ก็ให้ไปเรียนรู้เพิ่มเติมกันด้วยนะ เมื่อพร้อมแล้วก็ให้สมัครงานนักออกแบบแฟชั่นกันได้เลย เชื่อเถอะว่า หากคุณขยันและพยายามอย่างแท้จริง การสมัครงานทำเป็นนักออกแบบแฟชั่นก็ไม่ยากเกินความพยายามอย่างแน่นอน

cr : jobtopgun.com

25 ม.ค. 2565 ดู 2 ครั้ง

  Things to Know : เรื่องน่ารู้


Responsive image

5 เคล็ดลับทำให้ผ่านโปรอย่างมีประสิทธิภาพอย่างไรให้เจ้านายรัก

หากคุณเป็นนักศึกษาจบใหม่ หรือคนทำงานที่เพิ่งจะเปลี่ยนงานและกำลังอยู่ช่วงเวลา “ทดลองงาน” ซึ่งโดยปกติแล้ว บริษัทหลายๆที่จะมีเกณฑ์การผ่านโปรในระยะเวลาประมาณ​ 3-4 เดือน และหากคุณกำลังมองหาวิธีผ่านโปรอย่างมีประสิทธิภาพอย่างไรให้เจ้านายรัก ตามมาอัพเดตในบทความนี้ได้เลยค่ะ มาทำช่วงเวลาทองนี้ให้เป็นเวลาสำคัญที่จะทำให้เจ้านายตัดสินใจจ้างหลังจากพ้นช่วง Probation กันเถอะ

1.แสดงศักยภาพเต็มที่

สิ่งที่ต้องทำคือ ต้องทำความเข้าใจกับรายละเอียดงานของเราที่ได้รับมอบหมายอย่างถ่องแท้ ทำงานของตัวเองออกมาให้ดีที่สุด แสดงศักยภาพของตัวเองให้เต็มที่และอย่าลืมพัฒนาฝีมือของตนเองเสมอโดยการถาม feedback จากเจ้านาย เพื่อนร่วมงาน เพื่อนำมาปรับปรุงเนื้องานของตัวเองให้ดียิ่งขึ้น

2.ตั้งเป้าหมายให้ชัดเจน

การตั้งเป้าหมายให้ชัดเจนในการผ่านโปรอย่างมีประสิทธิภาพ จะเป็นการสร้างแรงจูงใจและเป็นการกระตุ้นให้เรามีความมุ่งมั่นในการผ่านโปรให้ได้และผ่านโปรได้อย่างมีประสิทธิภาพอีกด้วย กล่าวคือ การตั้งใจที่จะผ่านโปรจะทำให้การทดลองงานมีวิธีการไปถึงความสำเร็จได้ไวขึ้น

3.สร้าง First Impression ที่ดี

เรื่องเล็กๆน้อยๆที่ไม่ควรมองข้าม เพราะการสร้าง First Impression เป็นสิ่งที่สำคัญ ทั้งในการทำให้เจ้านาย และเพื่อนร่วมงานประทับใจทั้งในเรื่องของบุคลิคภาพ การแต่งตัวต้องเรียบร้อยเหมาะสม และเรื่องกฎเกณฑ์ต่างๆของบริษัทต้องรักษาให้ดี เช่น กฎการขาด ลา มาสายที่ไม่ควรจะละเลย ควรมีเหตุผลที่เหมาะสมมากพออีกด้วย

4.โชว์ศักยภาพให้ผู้อื่นเห็น

นอกจากนี้ หากเรารับผิดชอบงานของตัวเองได้ดีแล้ว เราอาจจะสร้างโอกาสให้ตัวเองได้แสดงศักยภาพให้ผู้อื่นได้เห็นด้วยเช่นกันด้วยการอาสาช่วยงานของเพื่อนร่วมงานแต่อยู่ในขอบเขตความสามารถขของตนเอง เพื่อที่จะแสดงจุดแข็งของเราให้เพื่อนร่วมงานและเจ้านายได้เห็น

5.เข้ากับวัฒนธรรมองค์กร

เพราะนอกจากจะทำงานเก่งแล้ว หากอยากผ่านโปรแบบเจ้านายปลื้มเป็นพิเศษนั้น ห้ามพลาดที่จะเรียนรู้วัฒนธรรมองค์กรนั้นๆด้วย เหตุผลก็คือ หากผ่านโปรไปแล้ว การทำงานในองค์กรใดองค์กรหนึ่งจำเป็นจะต้องมีความอินกับวัฒนธรรมองค์กรหากต้องการจะเติบโตไปยาวๆ คนที่เข้ากับวัฒนธรรมนั้นย่อมมีแนวโน้มจะโตได้ไวมากกว่า

ทั้ง 5 เคล็ดลับนี้ก็จะเป็นเคล็ดลับการผ่านโปรอย่างมีประสิทธิภาพที่ไม่ว่าใครที่กำลังอยู่ในช่วงทดลองงานควรจะลองทำตาม เพื่อการผ่านโปรได้อย่างราบรื่นและเกิดประสิทธิภาพมากที่สุดนั่นเอง

cr : jobtopgun.com

10 ก.พ. 2565 ดู 3 ครั้ง

Responsive image

5 เหตุผลทำไมคนทำงานยุค 5G ต้องมีทักษะ Reskill & Upskill!

เพราะโลก 5G มันหมุนไวในทุกนาที ดังนั้น เราจะเห็นได้ว่าทุกองค์กรไม่ว่าจะเล็กหรือใหญ่ ล้วนต้องอาศัยการปรับตัวทั้งนั้นเพื่อให้อยู่รอดกัน เช่นเดียวกันกับคนทำงานทุกคน ที่ต้องมีทักษะ Reskill และ Upskill สองอันนี้ควบคู่กันไป เพราะในอนาคต หากฝีมือการทำงานเราไม่มีการพัฒนา แน่นอนว่าสักวันจะต้องถูกแย่งงาน หรือถูกแทนที่ด้วยนวัตกรรมใหม่ๆ บทความนี้จะชี้ให้เห็น 5 เหตุผลทำไมคนยุค 5G ต้องมี 2 ทักษะนี้ ซึ่งทักษะแรก คือ การพัฒนาทักษะตัวเองจากทักษะเดิมที่มี เช่น เรียนรู้เทคโนโลยีเพิ่มเติม ส่วน Reskill คือ การสร้างทักษะใหม่เพื่อไปใช้กับบริบทอื่นของตำแหน่งงานเพื่อตอบโจทย์การทำงานยุคใหม่นั่นเอง

1.ตอบโจทย์เทรนด์อนาคต

เนื่องจากมีหลายๆสำนักได้คาดการณ์ไว้ว่าอนาคตจะมีการโยกย้าย หรือมีงานอื่นๆเข้ามาทดแทนมากถึง 75 ล้านตำแหน่งภายในอีก 1-2 ปีข้างหน้า ประกอบกับมีการคาดไว้ว่าจะมีเทคโนโลยีและดิจิตอลเข้ามาขับเคลื่อนการในโลกแห่งการทำงานที่เกือบจะ 100% รู้แบบนี้ หากไม่มี 2 ทักษะที่ว่า คุณก็อาจจะไม่ได้ไปต่อก็ได้นะคะ

2.พนักงานที่มีคุณค่าใครๆต้องการตัว

หากอยากเป็นพนักงานทรงคุณค่าที่ใครๆต่างต้องการตัวและรู้เท่าทันโลกนั้น การ Upskill และ Reskill จึงเป็นอาวุธสำคัญที่จะต้องมี เพราะหากคุณพัฒนาตนเองเสมอ พร้อมมีทักษะที่โลก 5G ต้องการ ถึงแม้จะเข้ามาทำงานนานเท่าไหร่ก็ตามก็ยังสามารถนำพาองค์กรไปข้างหน้าได้

3.ก้าวไปล้ำหน้าคู่แข่ง

เพราะอุตสาหกรรมมักจะมีกลยุทธ์ในการทำธุรกิจที่น่าตื่นตาตื่นใจ รวมไปถึงการนำเอาเทคโนโลยีใหม่ๆมาใช้ ลองจินตนาการว่าหากองค์กรของเราถูกขับเคลื่อนด้วยพนักงานที่มีศักยภาพจากการ Reskill และ Upskill ตัวเองแล้วสามารถพัฒนาองค์กรให้ขับเคลื่อนไปได้ไวล้ำหน้าคู่แข่งอีกด้วย

4.ค้นพบความสามารถใหม่ๆ

เพราะการ Reskill และ Upskill จะช่วยให้พนักงานแต่ละคนได้ความรู้ใหม่ๆติดตัว และมีโอกาสค้นพบความสามารถใหม่ๆที่ซ่อนอยู่ และสามารถทำประโยชน์ให้องค์กรได้มากกว่าเดิมโดยที่บริษัทไม่ต้องออกค่าใช้จ่ายในการจ้างพนักงานหลายๆคน แต่มีเพียงพนักงานคนเดิมที่ได้ทักษะใหม่ๆติดตัวนั่นเอง

5.ยกระดับฐานเงินเดือน

ปัจจุบันหลายองค์กรทั่วโลกเปิดกว้างเรื่องการพนักงานที่แม้ทำงานไม่ตรงกับสายงานที่เรียนมา แต่ได้ใช้ทักษะ Reskill และ Upskill การทำงานที่นอกเหนือจากสิ่งเราเรียนจบมาก็เป็นเรื่องง่าย เพราะจะมีการพัฒนาและหมั่นปรับปรุงทักษะอยู่เสมอและยังมีโอกาสสามารถยกระดับฐานเงินเดือนได้อีกด้วย

ดังนั้น หากอยากจะอยู่รอดในยุค 5G ที่เทคโนโลยีเป็นบทบาทสำคัญนั้น คนทำงานทุกคนต้องรีบ Reskill และ Upskill กันเถอะค่ะ

cr : jobtopgun.com

26 ม.ค. 2565 ดู 5 ครั้ง

Responsive image

5 วิธีจัดการงานแบบมือโปรอย่างไรไม่ให้งานล้นมือ

ไหนใครเคยประสบปัญหาทำงานไม่ทันบ้างคะ? รับรองว่ามนุษย์เงินเดือนอาจจะเคยเจอกับปัญหานี้บ่อยๆ จนอาจทำให้กลับบ้านดึกๆดื่นๆ หรือต้องทำ OT กันให้วุ่นวายจนมีเวลาพักผ่อนไม่เพียงพอ ดังนั้น บทความนี้จะมาบอกถึงวิธีการจัดการงานแบบมือโปรอย่างไรไม่ให้งานล้นมือ ซึ่งมี 5 วิธีให้ทำตามกันดังนี้ค่ะ

1.เรียงลำดับความสำคัญ

การเรียงลำดับความสำคัญของงานก่อน หลัง มักจะเป็นอีกวิธีที่จะช่วยให้การเคลียร์งานเป็นไปได้อย่างง่ายขึ้น เพราะเมื่อคุณมีงานที่ล้นมือ ไม่รู้จะเริ่มจากตรงไหนก่อนดี วิธีเรียงลำดับความสำคัญจึงเป็นอีกทางที่จะช่วยให้คุณเคลียร์งานได้เสร็จตามลำดับก่อน หลังและไม่ลนอีกต่อไป

2.ทำ To-do-list

ต่อจากข้อแรกที่บอกไว้เรื่องการเรียงลำดับความสำคัญของงาน สิ่งที่ควรทำต่อคือ การทำ To-do-list โดยละเอียดว่าแต่ละงานมีขั้นตอนต้องทำงานส่วนไหนบ้าง ซึ่งการเขียน To-do-list ก็จะเป็นการเคลียร์งานในแต่ละวันให้เสร็จได้อย่างมีประสิทธิภาพอีกด้วย

3.ตั้งเป้าหมายในแต่ละวัน

นอกจากนี้ การตั้งเป้าหมายการเคลียร์งานในแต่ละวัน ก็จะเป็นการทำให้บรรยากาศในการทำงานของตัวเองไม่น่าเบื่ออีกต่อไป เพราะมีเป้าหมายในแต่ละวันกำหนดไว้นั่นเอง โดยการตั้งเป้าหมายในแต่ละวันควรเป็นอะไรที่อิงพื้นฐานความเป็นไปได้ หรือ งานไหนที่เริ่มลงมือทำไปแล้วใกล้เสร็จ อาจจะตั้งเป้าหมายในแต่ละวันได้ว่าอยากจะมีภารกิจในการเคลียร์งานให้เสร็จจำนวนเท่าไหร่

4.รักษา life-balance ด้วย

หากเราเคลียร์งานไม่เสร็จแล้วแบกมาทำต่อที่บ้านบ่อยๆจนเป็นเรื่องปกติ อาจทำให้องค์กรคิดว่าคุณบริหารจัดการเวลาทำงานได้ไม่ดี เพราะชั่วโมงทำงานก็ควรจะเคลียร์งานให้เสร็จ ไม่ควรจะแบกเอางานมาทำต่อที่บ้านจนทำให้ Work and Life Balance เสียไปนั่นเอง

5.ทำทันที

คาถาที่จะทำให้การเคลียร์งานเสร็จได้ไวก็คือการ “ทำทันที” เนื่องจาก สาเหตุที่ทำให้พนักงานมีงานล้นมือ ก็คือ การผัดวันประกันพรุ่งนั่นเอง ดังนั้น การปั่นงานใน last minute และการเลื่อน deadline ไปเรื่อยๆจะไม่เกิดขึ้นหากเราปรับทัศนคติในการทำงานทีต้องทำงานชิ้นนั้นทันที เพื่อเตรียมตัวรับงานหรือความท้าทายใหม่ๆที่จะตามมานั่นเอง

สำหรับใครที่งานล้นมือ ลองนำเอา 5 เทคนิคนี้ไปใช้ รับรองว่าจะช่วยให้คุณบริหารจัดการการทำงานได้อย่างดีขึ้นและงานเสร็จตามเป้าหมายที่ตั้งใจได้อย่างแน่นอน

cr : jobtopgun.com

25 ม.ค. 2565 ดู 1 ครั้ง

Responsive image

5 How to เพิ่มเงินเดือนอย่างไรโดยไม่ต้องเปลี่ยนงาน

เพราะหลายๆคนหรือมนุษย์เงินเดือนทั้งหลายมักจะมีเป้าหมายที่จะอยากได้เงินเดือนเยอะๆ เพื่อซัพพอร์ตกับค่าครองชีพที่สูงขึ้นในเศรษฐกิจยุคโควิดแบบนี้ แต่มีการเข้าใจผิดที่หลายๆคนเจอ คือ การเข้าใจว่าการเลือกเปลี่ยนงานเพื่อให้ได้เงินเดือนที่สูงขึ้นจะเป็นวิธีเดียวที่จะเพิ่มเงินเดือน แต่จริงๆแล้ว มีอีกหลายวิธีเพิ่มเงินเดือนอย่างไรโดยไม่ต้องเปลี่ยนงาน รวมไปถึงบทความนี้จะมาบอกถึง 5 How to เพิ่มเงินเดือนอย่างไรโดยไม่ต้องเปลี่ยนงาน

1.รับผิดชอบงานที่หลากหลาย

หากไม่รู้จะเริ่มตรงไหน อาจจะต้องเริ่มจากการหาความรับผิดชอบที่มากขึ้นด้วยการอาสาของานจากหัวหน้าที่มากขึ้น เพื่อให้ตัวเองได้แสดงศักยภาพออกมาได้มากขึ้นนั่นเอง แต่อย่าลืมว่าจะต้องรับผิดชอบงานของตัวเองให้ดีอีกด้วย โดยการอาสาช่วยงานหรือความรับผิดชอบที่อยากจะมีมากขึ้นก็เป็นแสดงความกระตือรือร้นในการรับผิดชอบงานที่หลากหลายมากขึ้น

2.โชว์ผลงานให้เจ้านายเห็น

หากไม่แสดงให้เจ้านายหรือคนที่พิจารณาการเลื่อนขั้นได้เห็นว่าผลงานของเรามีดีอย่างไร เราก็อาจจะไม่ได้รับการเพิ่มเงินเดือนมากขึ้นอย่างที่คาดคิด ดังนั้น ลองมองหาวิธีที่จะแสดงผลงานให้เจ้านายเห็น อาจจะผ่านทาง Performance Record ประจำรายสัปดาห์หรือรายเดือนก็จะทำให้เจ้านายได้รับรายงานความคืบหน้าอยู่ตลอดเวลา

3.Reskill & Upskill

ทั้ง 2 ทักษะการ Reskill หรือวิธีที่เพิ่มเติมทักษะใหม่ๆให้ตัวเองที่นอกเหนือจากที่ตัวเองมีอยู่ หรือการ Upskill หรือการพัฒนาทักษะโดยการเรียนรู้วิธีการทำงานใหม่ๆ เพื่อให้การดำเนินงานที่ทำอยู่ให้แตกต่างจากเดิม ดังนั้น หากพนักงานคนเก่าที่มีทักษะการ Reskill & Upskill ทางบริษัทก็จะต้องการตัวมากขึ้น และการเพิ่มเงินเดือนก็จะเป็นไปได้ง่ายขึ้นนั่นเอง

4.ศึกษาเพิ่มเติมเพื่อปรับฐานเงินเดือน

การเรียนต่อระดับปริญญานั้น ในบางบริษัทอาจจะถือว่าเป็นอีกปัจจัยในการพิจารณาเพิ่มเงินเดือนอีกด้วย ดังนั้น หากมีโอกาสที่จะเรียนต่อในด้านสาขาที่คุณจบมาหรือสาขาที่จะมาช่วยพัฒนาองค์กรในอนาคตก็ควรจะเลือก เพราะเป็นอีกวิธีที่องค์กรจะปรับฐานเงินเดือนของคุณขึ้นได้แน่นอน

5.เลือกองค์กรที่ถูกต้อง

เรียกได้ว่าเป็นอีกปัจจัยสำคัญที่ทำให้เงินเดือนแต่ละปีของคุณเพิ่มขึ้นได้ นั่นคือ การเลือกองค์กรที่มีนโยบายด้านสวัสดิการและมีวิสัยทัศน์ที่กว้างไกล ผลประกอบการดี และมีนโยบายการเพิ่มเงินเดือนระบุไว้อย่างชัดเจน เพราะหากบริษัทที่เราเลือกทำงานนั้นไม่มีโอกาสโต การขึ้นเงินเดือนก็อาจจะเป็นเรื่องยากขึ้นอีกด้วย

ทั้ง 5 How to เพิ่มเงินเดือนอย่างไรโดยไม่ต้องเปลี่ยนงานนี้ รับรองว่าเป็นเทคนิคที่พนักงานบริษัทสามารถนำไปปฏิบัติตามได้ รับรองว่าเพิ่มเงินเดือนได้โดยไม่ต้องเปลี่ยนงานกันเลยค่ะ

cr : jobtopgun.com

25 ม.ค. 2565 ดู 1 ครั้ง

  ลิงค์หางาน/สมัครงาน